ประเภทสัญญาที่เกี่่ยวข้องกับมาตรฐานทางการบัญชีฉบับที่ 17
ในมาตรฐานใหม่นี้ มีนิยามของสัญญาประกันภัยอยู่ 2 ตัว คือ สัญญาที่มีภาระผูกพันเกินควร (Onerous Contract) และ สัญญาที่มีกำไร (Contractual Service Margin : CSM) ที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของมาตรฐานฉบับนี้ โดยเราจะเรียกว่า เป็นความไม่สมมาตร หรือ อสมมาตร (Asymmetric) ของการรับรู้กำไรในสัญญาประกันภัย
1. Onerous Contract คืออะไร
Onerous แปลว่า เป็นภาระ หรือมีภาระผูกพันเกินควร ดังนั้น Onerous Contract จึงแปลว่า สัญญาที่มีภาระผูกพันเกินควร หรือแปลเป็นไทยได้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นแบบประกันที่ขาดทุน เนื่องจาก สมมติฐานทางคณิตศาสตร์ประกันภัยในมาตรฐานฉบับนี้จะถูกสะท้อนภาวะตลาดอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าแบบประกันจะถูกออกแบบมาให้มีกำไร แต่เมื่อนำมาขายแล้ว ในอนาคตก็อาจจะขาดทุนเนื่องจากสภาพตลาดในขณะนั้น ก็เป็นได้ (เช่น ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่ำกว่าตอนออกแบบไว้แต่แรก เป็นต้น)
สัญญาประกันภัยที่ประเมินแล้วขาดทุนในตอนที่นำออกมาขาย จะถูกตีตราว่า เป็น Onerous Contract (สัญญาที่มีภาระผูกพันเกินควร) และจะต้องรับรู้การขาดทุนทั้งก้อนทันที ยกตัวอย่างเช่น เราเห็นว่าสัญญาประกันภัยตัวนี้มีระยะเวลา 10 ปี และจะขาดทุนต่อเนื่องปีละ 10 ล้านบาท เวลารับรู้การขาดทุนในงบกำไรขาดทุนนั้น จะต้องรับรู้สะท้อนว่าขาดทุนเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาทในทันที (ปีละ 10 ล้านบาท 10 ปี สมมติไม่มีอัตราคิดลดมาเกี่ยวข้อง)
2. Contractual Service Margin (CSM) คืออะไร
Margin ในที่นี้ จะหมายถึงกำไร แบบที่เราชอบเรียกว่า Profit Margin แต่ในมาตรฐานใหม่ตัวนี้ ใช้คำว่า Service Margin เพราะมองว่าเป็นกำไรจากค่าธรรมเนียม (Service Fees) นั่นเอง เนื่องจากมาตรฐานนี้จะไม่รับรู้เบี้ยประกันว่าเป็นรายรับ/รายได้อีกต่อไป (ทุกอย่างจะเปลี่ยนเป็นค่าธรรมเนียมหมด) และเนื่องจากมาตรฐานใหม่นี้จะอยู่บนโลกของค่าธรรมเนียมเวลาเรียกกำไรของสัญ ญาประกันภัย จึงเรียกว่า Contractual Service Margin (CSM)
สัญญาประกันภัยที่ประเมินแล้วกำไรในตอนที่นำออกมาขาย จะมี Contractual Service Margin (CSM) ซึ่งไม่สามารถรับรู้ว่าเป็นกำไรทั้งก้อนได้ในทันที แต่จะต้องนำมาเกลี่ยเฉลี่ยออกไปตามอายุของสัญญานั้น ยกตัวอย่างเช่น
“สัญญาประกันภัยตัวนี้มีระยะเวลา 10 ปี และจะมีกำไรเป็นมูลค่าปัจจุบันทั้งหมด 100 ล้านบาท เวลารับรู้กำไรในงบกำไรขาดทุนนั้น จะไม่สามารถรับรู้ 100 ล้านบาท ทั้งก้อนได้ แต่จะต้องเอา 100 ล้านบาทนั้น มาทยอยรับรู้ตลอดระยะเวลา 10 ปีของสัญญาประกันภัยนั้น เสมือนหนึ่งเราเอา 100 ล้านบาทที่คิดว่าจะได้กำไรทั้งหมด ในวันที่ออกกรมธรรม์ให้นั้น เทใส่ลงไปในเขื่อนกันสำรองเอาไว้”
และเมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ ผันน้ำออกจากเขื่อน ทยอยรับรู้กำไรออกมา บางครั้งอาจจะเรียก Contractual Service Margin (CSM) ว่า Profit Reserve ก็ไม่ผิดนัก
เมื่อเปรียบเทียบ Onerous Contract กับ Contractual Service Margin (CSM) แล้วจะเห็นว่า เวลาขาดทุนนั้นจะต้องรับรู้การขาดทุนทั้งก้อนทันที แต่เวลากำไรนั้นจะต้องทยอยผ่อนรับรู้ไปทีละนิดตลอดอายุสัญญา จึงทำให้มาตรฐานใหม่นี้รับรู้กำไรขาดทุนแบบไม่สมมาตร เรียกว่า “มีสุขต้องทยอยเสพ มีทุกข์ต้องรับรู้ให้หมดจดในทีเดียว”
จะทำอย่างไร ถ้าในวันแรกเป็น Onerous Contract แล้วค่อยกลับมามีกำไร
ในเมื่อวันแรกถูกตีตราว่าเป็น Onerous Contract หรือ สัญญาที่มีภาระผูกพันเกินควรไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเรารับรู้เป็นขาดทุนไปทั้งหมดแล้วก็ทำเป็นลืมตัวเลขขาดทุนนั้นไปจากสัญญาประกันภัยได้ ถึงจะรับรู้ไปหมดแล้วเราก็ต้องเก็บตัวเลขที่เคยลงบัญชีว่ารับรู้ขาดทุนไปแล้วเท่าไรของแต่ละกรมธรรม์ (Loss Component) ไว้เสมอ เพราะถ้าเกิดบริหารแล้วมีกำไรขึ้นมาทีหลัง เราจะต้องนำตัวเลขของกำไรที่ว่านี้มาหักกลบลบหนี้จากตัวเลขขาดทุนที่เคยลงบัญชีก่อนหน้านั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหักจนหมด และส่วนเกินไปกว่านั้น ค่อยรับรู้ว่าเป็น Contractual Service Margin (CSM) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยเอามูลค่าส่วนเกินที่เป็น CSM มาทยอยรับรู้เป็นกำไรในอนาคตอีกที
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าการรับรู้ขาดทุน (Loss Component) ที่เคยรับรู้จากการเป็น Onerous Contract มานั้น มาตรฐาน IFRS17 สามารถให้เอาการเปลี่ยนแปลงของกำไรที่มากขึ้นกว่าที่คาดหวังมาชดเชยได้เท่านั้น แต่จะไม่สามารถเอา กำไรในอดีต มาหักกลบลบหนี้ได้
ยกตัวอย่างเช่น สัญญาประกันภัยระยะเวลา 10 ปี และในวันที่ขายกรมธรรม์ไปนั้นบริษัทได้รับรู้ขาดทุนเป็นจำนวน 100 ล้านบาท (เป็น Loss Component) และสมมติว่าเวลาผ่านไป 3 ปี บริษัทเห็นว่าจะมีกำไรจากอนาคตข้างหน้าเพิ่มขึ้น 70 ล้านบาทซึ่งมากกว่าตอนที่เคยคำนวณไว้ในตอนแรกแล้ว ตามมาตรฐานใหม่นี้ จะให้นำ 70 ล้านไปเติมเป็นกำไรได้ในปีบัญชีนั้นทันที (ไม่ต้องนำมาทยอยรับรู้กำไร แบบ Contractual Service Margin (CSM)) เนื่องจากบริษัทเคยลงบัญชีว่าขาดทุนมาก่อนแล้ว 100 ล้าน โดยกำไรจากอนาคตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนี้จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ทำให้คำนวณได้กำไรมากกว่าที่เคยคาดหวังตั้งเอาไว้ หรือการคาดการณ์ผลประกอบการจากการดำเนินงานในอนาคตข้างหน้าที่จะดีกว่าสม- มติฐานที่เคยตั้งไว้ ซึ่งมีผลทำให้ กระแสเงินสดเพื่อภาระผูกพันกรมธรรม์ (Fulfilment Cash Flows) ลดลง
และเมื่อบริษัทดำเนินงานผ่านไปอีก จนกระทั่งครบ 5 ปี มีกำไรอีก 80 ล้านบาท บริษัทก็จะต้องนำ 80 ล้านบาทนี้หั่นออกมาเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือ 30 ล้าน ที่นำมารับรู้เป็นกำไรได้ทันที เพราะเอามาหักกลบกับสิ่งที่เคยลงขาดทุนสะสมเหลือไว้ 30 ล้าน (เคยรับรู้ขาดทุน 100 ล้านในวันที่ออกกรมธรรม์ และรับรู้กำไรมา 70 ล้านในสิ้นปีที่ 3) และส่วนหลังคือ 50 ล้าน นี้ จะต้องนำมารับรู้กำไรในระยะเวลาที่เหลืออีก 5 ปี (สัญญามีระยะเวลา 10 ปี และตอนที่จะลงบัญชีนี้ครบ 5 ปีพอดี) ซึ่งก็คือ ทยอยรับรู้เป็นกำไร ปีละ 10 ล้านบาท ไปอีก 5 ปี เป็นต้น
จะทำอย่างไร ถ้าในวันแรกมี Contractual Service Margin แล้วขาดทุนทีหลัง
เมื่อทยอยรับรู้กำไรจากการมี Contractual Service Margin (CSM) อยู่ดีๆ แล้วมีงานเข้า เกิดการประมาณการว่าอนาคตข้างหน้าจะมีการขาดทุนเข้ามาทำให้ต้องนำตัวเลขขาดทุนนั้นมาหักลบกลบกับ Contractual Service Margin (CSM) ที่เหลืออยู่ จากนั้นก็นำมาคำนวณเกลี่ยกำไรสำรองที่เหลือนั้นในระยะเวลาที่เหลือไว้อีกที แปลว่า เวลามี Contractual Service Margin (CSM) อยู่แล้ว และเกิดขาดทุนขึ้นมาในปีบัญชีปีนั้น บริษัทจะยังไม่ได้รับผลกระทบต้องรับรู้การขาดทุนในทันที เพียงแค่เอาไปหักออกจาก Contractual Service Margin (CSM) ที่เหลือสะสมไว้อยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ กำไรที่ทยอยรับรู้ในอนาคตนั้นหดตัวลง เท่านั้นเอง
โดยการขาดทุนที่เกิดจากการประมาณการในอนาคตข้างหน้านี้ จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ทำให้คำนวณได้กำไรลดลงกว่าที่เคยคาดหวังไว้ หรือการคาดการณ์ผลประกอบการจากการดำเนินงานในอนาคตข้างหน้าที่แย่กว่าสมมติฐานที่เคยตั้งไว้ ซึ่งมีผลทำให้กระแสเงินสดเพื่อภาระผูกพันกรมธรรม์ (Fulfilment Cash Flows) เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าการรับรู้กำไรจาก Contractual Service Margin (CSM) ในมาตรฐาน IFRS17 นั้นสามารถให้เอาการเปลี่ยน แปลงของกำไรที่ลดลงกว่าที่คาดหวังมาหักกลบชดเชยได้เท่านั้นแต่จะไม่สามารถเอาการขาดทุนในอดีตมาหักกลบลบหนี้ได้
คำนวณเดี่ยวหรือประเมินกลุ่มดี?
ใครที่เป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะรู้ดีว่า เรามีปัญหาที่ต้องอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการคำนวณเดี่ยว ประเมินกลุ่ม มาตลอด เพราะการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้นเป็นการประเมินกลุ่ม และตั้งสมมติฐานโดยแบ่งตามกลุ่มความเสี่ยง แต่เวลาคำนวณค่อยเอาสมมติฐานที่กลั่นกรองจากความคิดของเรานั้น ไปคำนวณหยอดใส่ทีละคน
เปรียบเหมือนตอนที่เรากำลังตีส่วนผสมของการทำขนมครก ที่ต้องเอาหลายๆ ส่วนผสมมาคลุกเคล้าเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหม้อ แล้วหลังจากเคี่ยวเสร็จ ค่อยเอาส่วนผสมของเรานั้นหยอดเข้าแม่พิมพ์ทีละฝา
ประเด็นอยู่ที่ว่า เวลาจะกวนส่วนผสมนั้น จะจัดกลุ่มอย่างไร ถ้าบริษัทมีความเสี่ยง 5 ชนิด เราก็คงจะกวนส่วนผสมไว้ 5 หม้อ (จะเป็นรสอะไร หรือชนิดอะไร ก็ว่าไปตามนั้น) เราคงไม่ได้กวนทุกสิ่งอย่างไว้ในหม้อเดียวกันใช่ไหมครับ
ดังนั้น เรื่อง Level of Aggregation จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกนำมาเป็นประเด็นก่อน โดยในตอนแรกที่เป็นมาตรฐานใหม่ (ฉบับร่าง) นั้น ได้ระบุว่าจะต้องทำทีละกรมธรรม์เลย ไม่สามารถนำมาจัดกลุ่มได้ แต่มีบางฝ่ายได้ค้านเอาไว้ว่า ทำแบบนั้นมันแทบจะชี่ช้างจับตั๊กแตกเลยทีเดียว ในมาตรฐานใหม่ (ตัวล่าสุด) นี้จึงยอมให้คำนวณเป็นกลุ่มได้
การจัดกลุ่มตาม Level of Aggregation
การจัดกลุ่มประเภทของแบบประกันนั้น จะทำกันตอนเริ่มขายกรมธรรม์นั้นๆ (Policy Inception) ซึ่งเมื่อจัดกลุ่มเข้าประเภทไหนแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนจนกระทั่งหมดอายุสัญญา โดยประเภทของสัญญาประกันภัยนั้นสามารถจัดกลุ่มตามขั้นตอนได้ดังนี้
1. ตามพอร์ต (Portfolio)
โดยให้จัดเป็นพอร์ตก่อน ซึ่งก็คือ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงคล้ายกันและบริหารทั้งกลุ่มไปด้วยกัน (ในมาตรฐานใหม่ ใช้คำว่า “similar risk and managed together”) ยกตัวอย่างเช่น แบบประกันที่ชำระเบี้ยครั้งเดียว (Single Premium) กับแบบประกันบำนาญที่จ่ายเบี้ยรายงวด (Regular Premium Annuity) ควรจะอยู่คนละพอร์ตกัน หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเช่น แบบประกันรถยนต์ (Motor) ควรจะอยู่คนละพอร์ตกับ แบบประกันที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เห็นได้ชัดกันอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เห็นภาพชัดขึ้นในทางปฏิบัติ การแบ่งพอร์ตของแบบประกันเหล่านี้ อย่างน้อยก็อาจจะพิจารณาให้สอดคล้องไปพร้อมกับการจัดประเภทแบบประกัน (Product Categories) ของการทำรายงาน Risk Based Capital (RBC) ส่ง คปภ.ไปด้วยก็ได้
2. ตามกลุ่ม (Cohort)
โดยให้จัดกลุ่มเฉพาะสัญญาที่ออกห่างกันไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมองให้ง่ายก็คือ เวลาจัดกลุ่มนั้น เราควรจัดกลุ่มตามปีที่ขายกรมธรรม์นั้นๆ เช่น “กรมธรรม์ที่ขายในปี 2017 จะต้องถูกจัดเป็นอีกกลุ่มกับกรมธรรม์ที่ขายในปี 2018 ถึงแม้ว่า แบบประกันนั้นจะเป็นแบบเดียวกัน และขายให้กับคนๆ เดียวกัน เนื่องจากมาตรฐานใหม่ตัวนี้จะมองว่า การออกกรมธรรม์ในต่างกาลเวลากันจะมีสมมติฐานทางคณิตศาสตร์ประกันภัยที่แตกต่างกันได้ตามภาวะตลาดในตอนนั้น ถ้าใครเคยได้ประเมินเงินสำ- รองหรือได้สอบระดับเฟลโล่แบบ U.S. GAAP แล้วก็จะเห็นภาพได้ชัดเจน” ว่า การแบ่งตามกลุ่ม Cohort นั้น เป็นหลักการที่หยิบยืมจาก U.S. GAAP มาใช้
3. ตามความสามารถของการทำกำไร (Profitability)
โดยต้องขอเท้าความกันก่อนว่า ตอนที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยคำนวณเบี้ยประกันภัย ก็จะคำนวณกำไรเอาไว้แล้วว่าถ้าขายไปแล้วจะได้กำไรเท่าไรบ้างในแต่ละปี ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงสามารถจะบอกได้ว่าแบบประกันที่กำลังจะขายอยู่นั้นมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไร (ในภาวะตลาดที่กำลังจะขายอยู่ในขณะนั้น) ด้วยเหตุนี้ การจัดกลุ่มตามประเภทของกำไรนี้ จึงจะจัดว่าสัญญาประกันภัยนี้อยู่ในรูปแบบที่เป็น Onerous Contract หรือไม่
3.1 Onerous Contract ถือเป็นกลุ่มแรกเลย แปลว่า ขาดทุนชัวร์ตั้งแต่ตอนขาย จึงควรจะแยกกลุ่มออกมา ประมาณว่าเป็นไวรัสที่ต้องถูก quarantine กักบริเวณไว้ ไม่ควรถูกรวมกลุ่มกับตัวที่มีกำไร ไม่อย่างนั้นแล้วคนที่อ่านงบการเงินจะไม่รู้ว่าตัวไหนกำไรหรือขาดทุน กลายเป็นการมี subsidize (กำไรกับขาดทุน ซุกซ่อน เอาไว้ด้วยกัน เพื่อให้ภาพรวมดูมีกำไร) และทำให้ดูไม่โปร่งใส ดังนั้น แบบประกันที่เข้าข่าย Onerous Contract จะถูกบังคับให้สะท้อน (Timely Reflection) การขาดทุนทั้งหมดในทันที
3.2 Profitable Contract เป็นกลุ่มที่เรียกว่า กำไรชัวร์ตั้งแต่ตอนขาย ซึ่งจะไม่ยอมให้สะท้อนผลกำไรทั้งหมดในทันที จะต้องทยอยรับรู้เอาไว้จาก Contractual Service Margin (CSM) ไปตลอดอายุสัญญาแทน จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า Asymmetric Treatment (อสมมาตร) ที่ปฏิบัติไม่เหมือนกันระหว่าง Profitable Contract (ทยอยรับรู้กำไร) กับ Onerous Contract (รับรู้ขาดทุนในทันที)
3.3 No Significant Possibility of Becoming Onerous เป็นกลุ่มสุดท้าย ซึ่งแปลว่าตอนนี้กำไรอยู่ ยังมองไม่เห็นว่าถ้าขายออกไปตอนนี้แล้วมันจะขาดทุน (แต่อนาคตอาจจะไม่แน่ ถ้าเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น โดยอาจทดสอบได้จากการทดสอบความไว (Sensitivity Test) หรือ ใช้ข้อมูลภายใน (Internal Information) เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประมาณการในอนาคต เป็นต้น) ซึ่งขอแปลอีกครั้งว่า กลุ่มนี้คือ กำไรแต่ไม่ชัวร์ มีโอกาสกลายเป็น Onerous Contract ในอนาคตได้ เวลาจัดกลุ่มจึงต้องดูจากกลุ่มกว้างๆ เช่นระดับพอร์ต (Portfolio) เสียก่อน เมื่อจัดพอร์ตแล้ว จึงค่อยมาดูเรื่องกลุ่ม (Cohort) แล้วค่อยลงมาในระดับลึกสุดคือ ประเภทของกำไร ว่าเป็น Onerous หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทนี้ มี อยู่ 3 พอร์ต (Portfolio) แต่ละพอร์ต มี 4 กลุ่ม (Cohort) และแต่ละกลุ่มจะมีชนิดของกำไร อยู่ 2 ประเภท คือ แบบ Onerous และ แบบ Profitable ดังนั้น เวลาเราจัด Level of Aggregation จึงมี 3 x 4 x 2 = 24 กลุ่มย่อย นั่นเอง ซึ่งถึงแม้ว่ากรมธรรม์จะมี 1 ล้านกรมธรรม์ เราก็จะคำนวณทั้งหมด 24 ครั้ง (เหมือนมีหม้อขนมครก 24 หม้อ แต่หยอดการคำนวณลงไป ได้ขนมครกออกมา 1 ล้านฝา)
อนึ่ง มีคนเคยถามว่า สำหรับธุรกิจประกันชีวิตแล้ว เราจะต้องแบ่งสัญญากรมธรรม์หลัก กับสัญญาเพิ่มเติมออกจากกันหรือไม่ เพราะบางครั้งเราก็คำนวณเบี้ยและขายแยกกัน แต่เวลาขาดอายุ (Lapse) ส่วนใหญ่จะทำพร้อมกัน อย่างนี้เราควรมองว่ารวมหรือแยกออกจากกันดี โดยมีหลักการคร่าวๆ ให้ว่า ให้เปรียบเทียบสัญญาหลักอย่างเดียว (Basic Only) กับสัญญาหลักที่แนบสัญญาเพิ่มเติม (Basic + Rider) นั้นมีความแตกต่างของความเสี่ยง (Nature of Risk) หรือไม่ ถ้าการแนบสัญญาเพิ่มเติมเข้าไปแล้ว ทำให้ความเสี่ยงในองค์รวมทั้งหมดเปลี่ยนจริง ก็ควรจะแยกออกจากกัน
ในตอนนี้คณะทำงานของมาตรฐานใหม่นี้มีแนวโน้มว่าจะให้มองสัญญาหลักที่แนบสัญญาเพิ่มเติม (Basic + Rider) รวมกันเป็นสัญญาเดียวกัน
การประกันภัยต่อ (Reinsurance)
หลายคนสนใจกับมาตรฐานใหม่นี้ โดยมุ่งเน้นแต่การคำนวณว่าจะคำนวณอย่างไร ลงบัญชีอย่างไร ในตัวสัญญากรมธรรม์ และแล้วก็มีคนถามถึง “แล้วการประกันภัยต่อจะมีผลกระทบอย่างไรในมาตรฐานนี้” ซึ่งพอมาวิเคราะห์ดูแล้ว ไม่ได้มีผลกระทบทาง การเงินอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็มีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อยกับการปฏิบัติตามมาตรฐานฉบับนี้
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทประกันภัย มีการทำประกันภัยต่อ แล้วเป็น Reinsurance Cost ซึ่งเปรียบเหมือนเป็น Onerous ขึ้นมาสำหรับสัญญาประกันภัยต่อ ทำให้ทางฝั่งของบริษัทประกันภัยต่อ เกิด Contractual Service Margin (CSM) ขึ้นนั้น ซึ่งในแนวปฏิบัติของมาตรฐานใหม่นี้ ยังไม่ต้องทยอยรับรู้กำไร แต่ไปหักกลบกับ Onerous ของบริษัทประกันได้เลย”
วิธีปฎิบัตินี้เรียกว่ามาตรฐานใหม่นี้ ยอมให้มี Symmetric Treatment (สมมาตร) สำหรับสัญญาประกันภัยต่อเท่านั้น (ทั้งกำไรทั้งขาดทุนให้รับรู้ทันทีลงไปได้เลย) ซึ่งต่างกับหลักการที่กล่าวมาของ Asymmetric Treatment (อสมมาตร) ของสัญญาประกันภัยทั่วไป ดังนั้นการทำสัญญาประกันภัยต่อจึงต้องมีการเชื่อมโยง (Linkage) กับสัญญาประกันภัยสำหรับมาตรฐานใหม่นี้
เขียนโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ)
ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น
บทความที่เกี่ยวข้อง
บทสัมภาษณ์พลิกโฉมธุรกิจประกันกับ IFRS17 ตอนที่ 1 โดย ทอมมี่ แอคชัวรี
บทสัมภาษณ์พลิกโฉมธุรกิจประกันกับ IFRS17 ตอนที่ 3 โดย ทอมมี่ แอคชัวรี
บทสัมภาษณ์พลิกโฉมธุรกิจประกันกับ IFRS17 ตอนที่4 (จบ) โดย ทอมมี่ แอคชัวรี
Comments